เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ก.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ่านหนังสือนะ เวลาหลวงปู่พรหมไปเจอหลวงปู่มั่นครั้งแรก เห็นหลวงปู่มั่นตัวเล็กๆ แล้วบอกว่าทำไมหลวงปู่มั่นมีชื่อเสียงคับประเทศไทย ภิกษุตัวเล็กๆ ขนาดนี้เหรอมีชื่อเสียงทั่วประเทศไทย มันคิดในใจไง คิดในใจว่าทำไมชื่อเสียงคับประเทศไทยเลย แต่ทำไมร่างไม่ใหญ่โตไม่อะไร ไม่สมไง หลวงปู่มั่นเป็นพระที่รูปร่างเล็ก แต่หลวงปู่มั่นรู้วาระจิต “อย่าพึ่งดูถูกคนด้วยความเห็นภายนอก ยังไม่เห็นสิ่งที่เห็นภายในอย่าพึ่งดูถูก

กัน” หลวงปู่มั่นพูดอย่างนั้นนะแล้วสอนหลวงปู่พรหม สอนหลวงปู่พรหมจนหลวงปู่พรหมพ้นจากกิเลสที่เชียงใหม่

แล้วหลวงปู่ขาวเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มั่นมาบอกหลวงปู่ขาวว่า หลวงปู่พรหมพ้นแล้วๆ จนให้หลวงปู่ขาวมีกำลังใจขึ้นมา หลวงปู่ขาวก็มุมานะทำจนสำเร็จไปเหมือนกัน

มันเป็นว่าความเห็นจากภายนอก เราเห็นกันด้วยสายตา ด้วยรูปร่างภายนอกมันยังไม่รู้ความจริงภายในหรอก แล้วอย่างพวกเรามันไม่มีเรดาร์ ไม่มีเครื่องจะจับสิ่งนั้น เราจะไม่รู้เรื่องสิ่งนั้นเลย แต่ถ้าเรามีเรดาร์จับ รูปลักษณ์ภายนอกเป็นส่วนความรูปลักษณ์ภายนอก เหมือนกับนักกีฬานะ ถ้านักกีฬาได้ซ้อมได้ฝึกซ้อม แล้วเขาลงเล่นกีฬาเขาจะมีกำลังมากเลย เขาจะสามารถทำอะไรได้ แต่ถ้าเขาไม่มีเทคนิคเขาก็ไม่สามารถจะชนะได้ เขาต้องมีกำลังด้วย เขาต้องมีเทคนิคในการเล่นของเขาด้วย แล้วเขาต้องประสานงานในทีมของเขาด้วย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจของเราๆ สามารถทำได้ขนาดนั้น เราจะทำของเราได้ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด คนที่ไม่ศรัทธาเลยนะ เขาก็ไม่ศรัทธาของเขา เขาก็ว่าเขาทำของเขาถูก เพราะอะไร เพราะกิเลสของเขาปิดใจของเขา เขาว่าเขาทำของเขาถูก ไอ้เราศรัทธาขึ้นมาเราก็พยายามจะหาโอกาสของเรา แต่โอกาสของเรามันหาได้ยาก เพราะโอกาสของเราๆ ไม่เข้าใจว่าโอกาสของเราอยู่ที่ไหน แต่เราอาศัยหลวงตา สิ่งที่หลวงตาท่านพ้นแล้วท่านไม่หวังสิ่งใดกับใครทั้งสิ้น การกระทำของท่านๆ จะไม่ได้สิ่งต่างๆ เข้าไปในหัวใจนั้นเลย เพราะท่านสิ้นกิเลสแล้ว ท่านจะไม่ต้องการสิ่งนี้ แต่ท่านต้องการคนที่ปิดตาอยู่ เขาจะรู้หรือไม่รู้เราเผื่อแผ่เขา

การทำบุญกุศลในครั้งพุทธกาล มีกษัตริย์องค์หนึ่งอยากทำบุญมาก แต่เขาไม่มีเวลา เขาให้ทาสของเขาให้คนใช้ของเขาไปใส่บาตร คนใช้เขาใส่บาตรสิ่งที่ว่าเขามาใส่บาตรนั้นเป็นวัตถุของกษัตริย์นะ แต่เขาใส่บาตรด้วยความศรัทธา เขามีศรัทธามาก เขาทำด้วยความปลาบปลื้มมาก เขาทำด้วยความดูดดื่มมาก เขาใส่บาตรให้กษัตริย์นั้นทุกวัน สิ่งที่ทำเห็นไหม กษัตริย์ก็อยากทำบุญแต่เขาไม่มีโอกาส เขาใช้ไหว้วานให้คนอื่นทำบุญ เพราะว่าเขามีกำลังแต่เขาไม่มีเวลา แต่คนที่ทำบุญเขาไม่มีกำลังเพราะเขาหาสิ่งนั้นไม่ได้ แต่เขามีศรัทธา เขามีความเชื่อ นี่โอกาส สิ่งนี้ทำขึ้นไป

อยู่ในพระไตรปิฎก คู่นี้เวลาตายขึ้นไป กษัตริย์นั้นก็ไปเกิดเป็นเทวดาเหมือนกัน แต่อยู่คนเดียว นั่งอยู่คนเดียว มีความสุขอยู่คนเดียว แต่ทาสนั้นคนใช้นั้นเวลาตายไปแล้วก็เกิดบนสวรรค์ชั้นเดียวกัน พร้อมกับมีบริษัทบริวารเต็มไปหมดเลย บริษัทบริวารคือการเราเปิดโอกาสให้เขา เราช่วย เราทำให้เขา สิ่งนี้เราทำให้เขา

เราทำเพื่อประโยชน์อันนี้ ถ้าเราทำของเรา เรามีหัวหน้า เรามีผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดีจะคัดหางเสือให้มันเป็นความตรงตลอดไป ถ้าเราไม่มีหัวหน้าเราทำด้วยของเรานี่นะ มันติดนะ อย่างเช่นเราทำคุณงามความดีแล้วติดนี่ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด สิ่งที่มรรคหยาบ คือความเห็นต่างๆ ที่เราเห็นขึ้นมา เราว่าเราถูกต้องๆ แต่สิ่งที่ละเอียดเข้าไปในหัวใจเรายังไม่เห็นอีกมากมาย ถ้าเราสาวเข้าไปในหัวใจของเรา มันจะลึกลับซับซ้อนแล้วจะมีความละเอียดเข้าไป แล้วพอเข้าไปแล้ว เอ๊ะ! เอ๊ะ! นะ ทำไมเราไม่เห็นอย่างนี้ ทำไมเราไม่รู้อย่างนี้ ไม่รู้เข้ามา เมื่อก่อนก็ว่ามันละเอียดแล้วๆ นี่มรรคหยาบ ถ้าเราติดในมรรคหยาบ

สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมทั้งหลายนี้เป็นอนัตตาทั้งหมด แต่สิ่งที่เป็นอนัตตานี้เราต้องสร้างสมขึ้นมา มันไม่ใช่อนัตตาลอยๆ มาหรอก สิ่งที่เป็นอนัตตาก็ลอยๆ มา เราอ่านพระไตรปิฎกนี่ลอยมา ลอยมาเพราะธรรมะนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราไปอ่านมา เราไปคาดการณ์แล้วเราสวมมานี่ มันลอยมา มันไม่เกิดขึ้นมากับเรา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายต้องเกิดจากเรา เกิดจากเราๆ ต้องสร้างสมของเราขึ้นมา สิ่งที่ลอยมามันชำระกิเลสของเราไม่ได้ ถ้ามันชำระกิเลสของเราไม่ได้ เราจะไม่เห็นสภาวะของเราขึ้นมา

เราต้องสร้าง ต้องทำสัมมาสมาธิ นักกีฬานั้นต้องออกกำลัง ออกกำลังแล้วต้องฝึกเทคนิคต่างๆ แล้วต้องประสานงาน ต้องฝึกซ้อมให้ประสานงานให้ทีมงานนั้นเข้ากันให้ได้ ถ้าทีมงานนั้นเข้ากันได้ มรรคสามัคคี มรรค มรรค ๘ มาแต่ ๘ แขนง ๘ หนทางมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวก็เป็นตัวตน รวมตัวกันจนไม่มีสิ่งใด นี่ความสามัคคี ความประสานงานของมรรค มรรคนี้รวมตัวกันแล้วสมุจเฉทปหานทำลายกิเลสออกไปชั้นหนึ่ง นี่มรรคหยาบๆ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค มันจะรวมตัวเข้ามา แล้วมันจะเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากสัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งนี้เป็นอนัตตาทั้งหมด

ถ้ามันยังเป็นอนัตตาอยู่ มันยังเป็นทางเดินอยู่ เราสร้างสมขึ้นมา เหมือนกับเรามาที่นี่ เราขับรถมา เราพยายามมาตามถนนหนทาง เรามาทำความถูกต้อง เราเห็นสิ่งต่างๆ เป็นบุญกุศลของเราๆ สร้าง การบริจาคทาน การเปิดโอกาสให้คนอื่น ทำให้คนอื่นเพื่อตัวเองให้มีบริษัทบริวาร สิ่งที่บริษัทบริวารถ้าเราติดว่าเราอยากมีบริษัท เราอยากมีบริวาร เราจะเปิดโอกาส เราจะทำสิ่งนั้น แล้วเราก็จะทำสิ่งนั้นตลอดไป นี่มรรคหยาบ

ถ้ามรรคละเอียดเข้าไป สิ่งนี้มันเป็นวัฏฏะ สิ่งที่เป็นวัฏฏะมันเป็นสถานะที่เราไปเป็นวาระ วาระที่เราจะไปเกิด แต่ถ้าเราทำลายวาระนั้นล่ะ เราจะไม่ให้มีวาระนี้เลย เราทำมรรคละเอียดเข้ามานี่ สิ่งนี้มันเสริมเข้ามา เสริมเข้ามา คือว่าเราวิปัสสนาเข้ามามันจะมีกำลังเข้ามา แต่คนถ้าไม่มีอำนาจวาสนาคนไม่ทำอะไรไว้เลย มันจะสมบุกสมบันมากนะ มันจะทุกข์ยากมาก การประพฤติปฏิบัตินี่จะทุกข์ยากมาก บางคนทำไมประพฤติปฏิบัติ หรือความเข้าใจนี่ เด็ก เห็นไหม บางคนสอนเด็กมันเข้าใจได้ง่ายเลย บางคนดื้อมากสอนขนาดไหนมันก็ไม่ฟัง

หัวใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจของเราโอกาสที่เราทำกับหลวงตา เราสร้างสมไปกับหลวงตา หลวงตาพาเราทำ เพราะหลวงตาไม่มีกิเลส ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด ทำเพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก ทำประโยชน์กับเขาตัวเองไม่มีเกาะเกี่ยวสิ่งใด ไม่ยึดมั่น ไม่ตั้งธง ฉันต้องการชื่อเสียง ฉันต้องการผลประโยชน์ ฉันต้องการสิ่งใดไม่ต้องการ สิ่งที่ไม่ต้องการคืออะไร คืออนัตตา สิ่งที่อนัตตา เราทำขึ้นมาแล้วเราปล่อยวางทั้งหมด

ถึงบอกว่าผู้นำที่ดี โค หัวหน้าโค ถ้าหัวหน้าโคที่ดีจะพาฝูงโคนั้นขึ้นฝั่งได้หมดเลย ถ้าหัวหน้าโคนั้นไม่ฉลาดนะ ทำอะไรก็แล้วแต่มันยึดมั่นถือมั่นแล้วมันติดสิ่งนั้นนะ มันจะทำให้โคทั้งฝูงไปเจอภาวะน้ำวนแล้วมันจะขึ้นฝั่งไม่ได้ นี่การขึ้นฝั่งไม่ได้ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งที่ทำอยู่นี้เป็นอนัตตาทั้งหมด มันเป็นสิ่งที่ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ความดีก็เป็นวาระ ความชั่วก็เป็นวาระ วาระ เห็นไหม ตกนรกก็เป็นส่วนหนึ่ง ขึ้นสวรรค์ก็หมดวาระก็ต้องกลับมาเกิดอีก เวียนตายเวียนเกิดไปสภาวะแบบนั้น มันเป็นทางผ่าน

การประพฤติปฏิบัติมันจะยากมันจะง่ายมันก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าเราได้สร้างสมบารมีมาไหม เราจะมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำไหม ถ้าเราสร้างสมบารมีมา เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ หลายองค์มาก พระหลายองค์นะ เวลานั่งปฏิบัติไป พระพุทธเจ้าเอย พระอรหันต์เอย หลวงปู่มั่นเอย ครูบาอาจารย์มาสอนในสมาธิ สิ่งนี้ผิดพลาดนะ ตั้งใจให้เป็นกลางนะ สิ่งที่เป็นกลางต้องสร้างสมขึ้นมานะ เป็นกลางนี้ไม่ลอยมาหรอก สิ่งที่เป็นกลางๆ เราปล่อยใจเฉยๆ มันไม่เป็นกลางหรอก มันเป็นมิจฉาสมาธิต่างหาก มันลงไปในภวังค์ต่างหาก มันไม่มีสติเลย ไม่สามารถควบคุมใจของเราได้เลย มันจะเป็นกลางมาจากไหน

การเป็นกลางคือ เราตั้งกำหนดคำบริกรรมขึ้นมานะ เราใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้ามานะ ให้มันปล่อยวางเข้ามาแล้วต้องมีสติตลอด สิ่งที่มีสติตลอดนั้นมันเป็นมัชฌิมาของสัมมาสมาธิ แล้วความดำริชอบปัญญาอยู่ไหน สติการประคองอารมณ์ของใจ ประคองสัมมาสมาธินี่อยู่ที่ไหน ประคองสิ่งนั้นขึ้นมานี่ หลวงปู่มั่นจะมาสอนในสมาธิ หลวงปู่มั่นบอกว่าเราต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญตลอดไป สิ่งนี้เราจะวางใจไม่ได้ ทางก้าวเดินของเราอีกมากมายมหาศาล สิ่งที่ลึกเข้าไปในหัวใจ

ย้อนกลับเข้ามา เพราะสร้างสมบารมีมา อาจารย์มหาบัวท่านพูดประจำนะ ว่าท่านพาช่วยชาติเพราะท่านได้สร้างสมบารมีมา จะไม่มีใครมีโอกาสทำอย่างนี้ได้หรอก คนจะทำอย่างนี้ถ้าไม่ได้สร้างสมบารมีมาจะไม่มีผู้ที่ว่ามาช่วยแรง ช่วยงาน ช่วยต่างๆ ผู้ที่ว่าเป็นบารมีธรรม สิ่งที่บารมีธรรมสร้างสมมาแล้วมีผู้ที่ช่วยเหลือกัน ผู้ที่มาช่วยเหลือกันก็เคยสร้างสมมาด้วยกันถึงเชื่อถึงฟัง คนไม่เชื่อเขาก็ไม่เชื่อของเขา เขาจะหาความสุขของเขา เขาจะสบายของเขา ก็เป็นเรื่องของเขา แล้วเวลาเขาไปภาวนาข้างใน ภาวนาไปสมาธิก็ล้มลุกคลุกคลาน สิ่งที่จะเป็นปัญญาก็ไม่เห็นไม่เกิด ผู้ที่ชี้นำก็เห็นไม่มี สิ่งที่จากการประพฤติปฏิบัติมันจะเกิดขึ้นมา มันจะเกิดขึ้นมาจากเราการสร้างสม ไม่มีสิ่งใดลอยมาเปล่าๆ

ในศาสนาพุทธเราว่าเป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก เป็นศาสนาของผู้ที่ใช้ปัญญา คนที่มีปัญญาถึงจะนับถือศาสนาพุทธแล้วต้องใคร่ครวญ ถึงบอกว่าเรื่องศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่ว่าถ้าคนมีกิเลสนะ เป็นเรื่องที่ว่ายุ่งยากมาก ทำอะไรก็เป็นกรรม ทำอะไรก็เป็นบาปๆ แล้วพูดคำก็กิเลสสองคำก็กิเลส กิเลสทั้งนั้นเลยแล้วความดีอยู่ที่ไหน ก็ความอยู่ที่การกระทำนั้นไง สิ่งที่เรากระทำอยู่ ถ้ามันเป็นความกระทำอยู่มันเกิดขึ้นมามันเป็นโลกียะ มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก แต่มันเป็นมรรค

สิ่งที่เป็นกิเลสคือ เราหลงใหล เราไม่เข้าใจ แล้วเราทำไปหัวปักหัวปำไป มันก็ตกทะเลเพราะมันไม่เข้ามัชฌิมาปฏิปทา แต่ถ้าเราทำความถูกต้อง มันจะเป็นกิเลสไปก่อน สิ่งที่คำว่ากิเลสเป็นกิเลสไปก่อนเพราะออกไปจากกิเลส คนเกิดมานี่เกิดมาจากกิเลส อย่างเสื้อผ้าเราชุบไปนี่น้ำมันเปียกไปนี่มันเปียกไปทั้งตัว แล้วเราตากให้มันแห้งมันก็ต้องค่อยๆ แห้งไปใช่ไหม แต่ความเปียกของมัน

นี่ก็เหมือกัน หัวใจเหมือนเสื้อผ้า แล้วมันชุ่มไปด้วยกิเลส แล้วจะไม่ให้มีกิเลสเจือจางไม่ให้มีกิเลสมีส่วนร่วมในการคิดของมัน มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ถึงต้องทำสัมมาสมาธิ ให้มันแห้งก่อนไง ถ้ามันแห้งก่อนเวลาความคิดมันเกิดขึ้นมาใหม่มันจะเป็นโลกุตตระ สิ่งที่เป็นโลกุตตระ คือว่ามันไม่มีความชุ่มชื่นอันนั้นคอยเหนี่ยวรั้ง ถ้ามันเป็นกิเลสทั้งหมดมันจะมีความชุ่มชื่นของกิเลสนั้นคอยเหนี่ยวรั้ง ความเหนี่ยวรั้งของเราไปมันก็จะเป็นโลกียะทั้งหมด

ความคิดของเรามันก็เป็นมรรค มรรคหยาบๆ สิ่งที่ว่าเป็นมรรคหยาบๆ แล้วถ้าเราติด เราพิจารณาของเราเข้ามา พิจารณาสิ่งต่างๆ พิจารณาความคิดเข้ามา พิจารณาที่ว่ามันฟุ้งซ่านที่มันเกาะเกี่ยว ใจมันเกาะเกี่ยวสิ่งใดพยายามล็อกมันเข้ามา พอล็อกมันเข้ามามันก็ปล่อยวางเข้ามา สิ่งที่ปล่อยวางเข้ามานั้นเป็นสัมมาสมาธิ เราจะหามรรคต่างหาก อย่างหยาบๆ เลย มรรคอย่างนี้เป็นหยาบๆ ถ้ามรรคหยาบๆ มันจะฆ่าอะไร มันจะฆ่าจากปุถุชนติดในรูป รส กลิ่น เสียง ถ้าตัดตรงนี้ขาดจะเป็นกัลยาณปุถุชน เป็นปุถุชนเหมือนกันแต่เป็นปุถุชนที่ควบคุมความรู้สึกของเราได้ เป็นปุถุชนควบคุมใจได้

คนเราเก็บความรู้สึกต่างๆ เราว่าคนนั้นเป็นคนดี เป็นคนมีการศึกษา เพราะรู้เท่ากับความคิดของตัวเอง นั่นนะต้องทำอย่างนั้นขึ้นมาให้จิตมันตั้งมั่นขึ้นมา แล้วจะยกขึ้นเป็นกัลยาณปุถุชน แล้วย้อนกลับขึ้นมาใช้ปัญญาเข้าไปมันจะเป็นวิปัสสนา สิ่งที่วิปัสสนาขึ้นไปนะมันจะเดินโสดาปัตติมรรค จากที่ว่ามรรคต่างๆ มรรคอย่างนี้มันจะเลาะ แต่ว่าเราไปติด รูป รส กลิ่น เสียง เท่านั้น สิ่งที่ติดรูป รส กลิ่น เสียง มันไม่ใช่กิเลสหรอก สิ่งนั้นมันเป็นเสียง สิ่งต่างๆ มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน

แต่ผู้ที่ไปยึดมันนะ ผู้ที่ไปเกาะเกี่ยวมันนะ กิเลสมันอยู่ที่ใจของคน กิเลสมันไม่ได้อยู่ที่รูป รส กลิ่น เสียง ถ้ารูป รส กลิ่น เสียงมันเป็นกิเลส วิทยุ ทีวี มันต้องเป็นกิเลสเพราะมันมีภาพมีเสียงตลอด แต่วิทยุ ทีวี มันไม่มีความทุกข์เลย มันไม่รู้สึกความรู้สึกของมัน มันไม่มีความทุกข์ มันไม่มีสิ่งต่างๆ แต่ไอ้คนที่ไปดูมันนะมีความทุกข์มีความยึดมั่นถือมั่น เพราะใจไปยึดมั่นถือมั่นเข้ามา มันปล่อยรูป รส กลิ่น เสียง เข้ามานี่ มันถึงปล่อยเข้ามาแล้วมันเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตนี้เป็นสัมมาสมาธิ

ถ้ามีอำนาจวาสนาที่เราทำกันอยู่นี่ เพราะเราต้องสร้างอำนาจวาสนา เพื่อจะให้เราย้อนกลับเข้ามาจับกายเวทนาจิตธรรมให้ได้ กายเวทนาจิตธรรมจับเพื่ออะไร เพื่อว่าเพราะใจมันก็อาศัยสิ่งนี้ไปเกาะเขา มีใจมันก็ถึงไปเกาะเขา ถ้ามีร่างกายก็อาศัยร่างกายนี้วิปัสสนาเข้ามา

ถ้าวิปัสสนาเข้ามาปัญญามันจะเกิด มรรคมันละเอียดเข้าไปๆ สิ่งที่มรรคละเอียดมันจะฆ่ากิเลสละเอียดเข้าไปๆ ฆ่ากิเลสที่ไหน ฆ่ากิเลสที่ใจ เพราะมรรคนี้เกิดที่ใจ เกิดจากความรู้สึกของเรา เกิดจากนักกีฬา เกิดจากใจนั้นได้ฝึกซ้อม ใจนั้นได้ฝึกซ้อม ใจนั้นได้ฝึกเทคนิค ใจนั้นได้ประสานงานกับมรรคต่างๆ สิ่งที่ประสานงานกันฝึกฝนต่างๆ เข้าไปนี่มรรคมันจะเริ่มสามัคคี มันจะเริ่มรวมตัวได้ ศีล สมาธิ ปัญญา มันรวมตัวกัน มันมีแรงงานขึ้นมา มันจะย้อนกลับขึ้นมานี่

นี่ความมหัศจรรย์ของมัน ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นจากหัวใจ เกิดจากการเราพยายามสะสมของเรา ถ้าเรามีความสะสมนะ เราสะสมแล้วเราสร้างสมขึ้นมา ถ้าทำของเราได้เราจะมีโอกาสวาสนา ถ้าทำของเราไม่ได้กิเลสมันครอบงำอยู่มันก็พยายามคิดของมันตามประสาของมัน สิ่งที่เป็นตามประสาของมันนี่มรรคหยาบๆ ทุกคนปรารถนาดี ทุกคนอยากมีความสุข ทุกคนต้องการพบความสุขพบความสำเร็จ แต่ความสำเร็จของแต่ละคนเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

เวลาครูบาอาจารย์เราสอน ตักบาตรทัพพีหนึ่ง ทำบุญกุศลหนหนึ่งปรารถนานิพพานทั้งหมด เพราะสิ่งที่ปรารถนานั้นใจมันปรารถนาได้ ไม่เป็นการมักใหญ่ใฝ่สูงหรอก เราตั้งเป้าหมายของเราไว้ ถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมายของเราไว้เราจะเดินไปไหน เราไม่มีเป้าหมายของเราเราเดินไปไม่ได้ เราตั้งเป้าหมายของเราแล้ว แล้วเราทำของเราได้ไม่ได้เราต้องตั้งเป้าหมาย แล้วเราทำของเราให้ถึงที่สุด ถึงที่สุดแล้วแก้กิเลสที่ใจ สิ่งต่างๆ นี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย ถ้าคนสร้างบุญบารมีมามันก็จะให้มีสิ่งนี้ประกอบให้เราสะดวกสบายขึ้นพอสมควร ถ้าเราไม่ได้สร้างสมมานะเราต้องล้มลุกคลุกคลาน

ครูบาอาจารย์ ผู้ที่สิ้นกิเลสเหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาการสั่งสอนไม่เหมือนกัน หลวงปู่ชอบท่านก็เผาแล้ว ท่านก็เป็นพระธาตุแล้ว ท่านก็ฝึกฝนลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมาแล้วก็ทำของท่าน หลวงปู่มั่นประเสริฐมากเป็นผู้ที่เป็นหัวหน้าเป็นแม่ทัพธรรม ฝึกฝนลูกศิษย์ลูกหามา หนึ่งองค์ขึ้นมาก็สอนคนทั่วประเทศไทย แล้วยังสอนคนต่างหาก แล้วครูบาอาจารย์ต่างๆ มาเป็นอย่างนั้น แล้วผู้ที่ไม่ได้สร้างสมมาก็มี ไม่มีอำนาจวาสนาก็เอาตัวเองให้รอดก่อน ถ้าเอาตัวเรารอดนี่วาสนาสูงสุด สิ่งที่สูงสุดคือชำระกิเลสของเราให้ได้ แล้วถ้ามีอำนาจวาสนาก็สร้างสมไป

โอกาสของสัตว์โลก ถ้าเราเจอครูบาอาจารย์เจอผู้นำที่ดีมันเป็นอำนาจวาสนา ถึงว่าเกิดกึ่งกลางพุทธศาสนา พุทธศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง หลวงปู่มั่นย้อนอดีตชาติแล้วพูดเอาไว้มากเรื่องอย่างนี้นะ แต่มันเป็นเรื่องวงใน คุยกันในวงใน พูดออกไปก็ว่าเราเป็นครูอาจารย์กันเราเชื่อมั่นกันเราก็ส่งเสริมกัน พูดให้คนนอกให้เขาหัวเราะเยาะเปล่าๆ แต่ถ้าวงในเราคิดขนาดนั้นนะ เราเห็นครูบาอาจารย์ส่งมาเป็นทอดๆ นะ ท่านเล่ากันมาแล้วครูบาอาจารย์ก็เล่าต่อกันมานี่

เรื่องภายในนี่มันจะคิดถึงโอกาส คิดถึงวาสนา คิดถึงที่เราเกิดมาพบสิ่งนี้ วาสนามากเลย แล้วถ้าเราปล่อยวาสนานี้หลุดมือไป เราปล่อยไป เราไม่สนใจ เราไม่ศึกษา มันเป็นเรื่องลึกลับมากเรื่องของธรรม มันเป็นเรื่องของใจ แล้วไม่มีใครค้นคว้าเข้าไปเจอ จะสื่อออกมาได้อย่างไร ถ้าสื่อออกมาได้แล้วจะรู้กันได้อย่างไร ถ้ารู้ไม่ได้แล้วใครจะสอน แล้วเราเจอแล้วเราก็พลาดโอกาสไป แล้วก็ต้องเหมือนกับฝุ่น ฝุ่นปลิวไปในอากาศ

นี่เหมือนกัน จิตนี้ต้องหมุนเวียนตายในวัฏฏะแน่นอน มันจะหมุนไปธรรมชาติของมัน มันจะทุกข์ยากของมันไปธรรมชาติของมัน ถ้ามันไม่เชื่อมันจะเป็นแบบนั้น ถ้าเชื่อมันก็มีที่เกาะเกี่ยว ฝุ่นทับถมลงที่ไหน มันก็เป็นดินขึ้นมา สะสมขึ้นเป็นดินเป็นอะไร ต่างๆ ขึ้นมา มันก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมา ใจถึงจะมีหลักมีเกณฑ์

เราถึงเกิดกึ่งกลางพุทธศาสนา ศาสนามีความรุ่งเรืองในการประพฤติปฏิบัติ คนจะเชื่อไม่เชื่อนั้นมันเรื่องกรรมของสัตว์ ถ้าเราเชื่อของเรา เราจะทำของเรา แล้วเราสร้างสมของเราขึ้นมา มันจะเป็นบุญกุศลของเรา เอวัง